พยายามฆ่าเพราะสาดหน้าด้วยน้ำกรด

 

# พยายามฆ่าเพราะสาดหน้าด้วยน้ำกรด

น้ำกรดซึ่งเป็นกรดซัลฟิวริก (sulfuric acid) หรือกรดกำมะถัน ลักษณะทั่วไปจะเป็นของเหลวใสคล้ายน้ำมัน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น  แต่มีฤทธิ์สามารถกัดกร่อนวัตถุเกือบทุกชนิด ทำให้เกิดการระคายเคืองต่ออวัยวะสัมผัส  มีพิษเฉียบพลัน  ซึ่งการใช้น้ำกรดถ้านำไปกระทำต่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยเฉพาะใช้สาดบนใบหน้าซึ่งเป็นอวัยวะที่อ่อนบางตามเหตุการณ์ข่าวหลายต่อหลายครั้ง  ซึ่งผู้ก่อเหตุที่ได้กระทำผิดบนใบหน้าของผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัสทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวไปตลอดชีวิตนั้น     น้ำกรดซึ่งผู้ก่อเหตุนำมาใช้ถือว่าเป็นอาวุธเพื่อพยายามฆ่าได้หรือไม่

 

ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 1 (5)   " อาวุธ "  หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ  แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษรายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ

มาตรา 288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวงโทษประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิต  หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 289 (5) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

 

เรื่องจริงอิงฎีกา/  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9711/2557

..........แม้น้ำกรดจะไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ  แต่ก็เป็นสารเคมีชนิดกรดเกลือซึ่งมีคุณสมบัติกัดกร่อนชนิดรุนแรงที่ทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต    แพทย์หญิงดลพร ผู้ตรวจรักษาโจทก์ร่วมที่ 1 เบิกความว่า โจทก์ร่วมที่ 1 มีบาดแผลที่ใบหน้าซีกซ้าย  หน้าอก  แขนด้านหน้าทั้งสองข้าง  และที่บริเวณอวัยวะเพศ   บาดแผลดังกล่าวมีลักษณะขอบไม่เรียบ พุพอง ความลึกของบาดแผลอยู่ในระดับ 2 ถึง 3 ซึ่งเป็นความลึกถึงระดับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง     บาดแผลที่โดนสารเคมีจะมี 3 ระดับ   ระดับ 3 เป็นระดับสูงสุด  น้ำกรดที่จำเลยที่ 1 นำมาใช้สาดใส่ร่างกายของโจทก์ร่วมทั้งสามมีความเข้มข้นสูงทำให้เกิดบาดแผลในระดับสูงสุด   ประกอบกับภาชนะที่จำเลยที่ 1 ใช้ใส่น้ำกรดมาซึ่งเป็นถังแกลลอนตัดแบ่งครึ่งแล้ว     น้ำกรดที่จำเลยที่ 1 นำมาสาดใส่โจทก์ร่วมั้งสามนั้นนอกจากจะมีความเข้มข้นสูงแล้วยังมีปริมาณมากจึงทำให้โจทก์ร่วมที่ 1 มีบาดแผลถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย   จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การกระทำของตนกับพวกเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมทั้งสามถึงแก่ความตายได้    การที่จำเลยที่ 1 กับพวกเตรียมน้ำกรดดังกล่าวมาเพื่อสาดใส่โจทก์ร่วมทั้งสามจึงเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน     ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสามโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นชอบแล้ว

Visitors: 50,512